ปัญหา เกี่ยวกับ ไม่ได้รับพัสดุ ทำอย่างไร ? ส่งของช้า ไม่ส่งของ ? กี่วันถึง !! อัตราค่าส่ง แพง ?
เดี๋ยวนี้ การจัดส่งพัสดุ เป็นเรื่องที่ ได้รับความนิยม เพิ่มมากขึ้นเป็นอย่างมาก ยิ่งใน ยุคสังคมออนไลน์ ที่ใครต่อใครก็ต่างชื่นชอบ และรักความสะดวกสบาย ซื้อก็ง่าย ขายก็คล่อง การซื้อสินค้าออนไลน์ จึงตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนในยุคปัจจุบัน อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงไปได้เลย
แต่ก็ยังมีกลุ่มคนอยู่ไม่น้อย ที่ยัง ไม่เชื่อถือ หรือ ไม่มั่นใจ ในมาตรฐานของการสั่งซื้อของออนไลน์ เหตุอาจเกิดจากหลากหลายปัจจัย ที่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ซึ่งวันนี้ เราจะมาลองพูดคุยถึงปัจจัยหลัก ที่สำคัญมากๆ อีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ “การจัดส่งพัสดุ” ที่ยังคงเป็นปัญหาคาใจแก่พี่น้องชาวไทย มานับตั้งแต่อดีตกาล ยันปัจจุบันวันนี้ ครับ
ปัญหาเกี่ยวกับ การจัดส่งพัสดุ ก็มักจะหนีไม่พ้นปัญหาเดิมๆ เหล่านี้
“ส่งของช้า ไม่ได้รับพัสดุ ไม่ส่งของ ไม่รู้ กี่วันจะถึง พัสดุเสียหาย ค่าส่ง แพง”
บทความนี้จะไม่ขอพูดถึง หน่วยงาน หรือ บริษัท ใดๆ เป็นการเฉพาะเจาะจง นะครับ เพื่อไม่ให้เกิด “ดราม่า” ขึ้น โดยไม่จำเป็น
แต่จะขอกล่าวถึง วิธีแก้ปัญหา หรือ การร้องเรียน และ ระบบการทำงาน ในกระบวนการจัดส่งพัสดุ เพื่อให้เกิดความเข้าใจ สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง ทั้งในฐานะผู้ซื้อ และผู้ขาย สินค้าออนไลน์
โดยขออนุญาต อ้างอิงจากประสบการณ์โดยตรงของผมเอง ครับ
กรณี แรก : ส่งของช้า
อาจเกิดได้จากปัจจัยหลักๆ 2 ด้าน คือ
1.หน่วยงาน หรือบริษัท ที่ทำหน้าที่จัดส่งพัสดุ ล่าช้าเอง
2.ร้านค้าออนไลน์ ดำเนินการล่าช้า และไม่สัมพันธ์กับการดำเนินงานของผู้ทำหน้าที่จัดส่งพัสดุ นั้นๆ
วิธีแก้ปัญหา :
ในฐานะผู้ซื้อ – ควร สอบถาม ร้านค้าออนไลน์ที่คุณทำการซื้อสินค้าด้วย ตั้งแต่ก่อนทำการโอนเงินค่าสินค้าให้แก่เขา ว่ามีวันจัดส่งสินค้าวันใดบ้าง ? หรือเมื่อโอนเงินแล้วจะสามารถจัดส่งได้ในวันใด ? และใช้เวลาในการจัดส่งประมาณกี่วัน ? เมื่อร้านค้าออนไลน์ ทำการจัดส่งตามกำหนด เราควรติดตามขอ หมายเลขพัสดุ ทุกครั้ง เพื่อที่จะไม่พลาดการตรวจสอบสถานะพัสดุของเรา .. เมื่อทราบข้อมูลเหล่านี้แล้ว คุณก็สามารถติดตาม ตรวจสอบ ได้ด้วยตนเอง หรือ สอบถามเพิ่มเติมจากร้านค้าออนไลน์นั้นๆ ซึ่งในส่วนตรงนี้ ถือเป็นสิทธิ์ของผู้บริโภคที่จะสามารถให้ร้านค้าช่วยติดตามพัสดุให้เราได้ครับ หากร้านค้าออนไลน์ร้านไหน ไม่ช่วยติดตาม หรือปฏิเสธการร้องขอของเรา ก็แสดงว่าร้านค้านั้นๆ ขาดความรับผิดชอบ และบกพร่องต่อการบริการขั้นพื้นฐานที่มีต่อลูกค้า ครับ
ในฐานะผู้ขาย – ควรมีการกำหนดวันส่งสินค้าที่ค่อนข้างแน่นอน หรือทำการแจ้งวันจัดส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าทุกครั้ง หากมีเหตุผลอื่นใดที่ทำให้เกิดความล่าช้าในขั้นตอนการดำเนินงานของร้านค้าเอง ควรทำการตกลงกับลูกค้าก่อนทุกครั้ง เพื่อมิให้เกิดปัญหาการร้องเรียนในภายหลัง และที่สำคัญคือ ควรดำเนินการจัดส่งสินค้าให้มีความสอดคล้องกับหน่วยงาน หรือบริษัท จัดส่งพัสดุเสมอ ที่จะปรับเปลี่ยนตารางการจัดส่งไปตามวันหยุดพิเศษ หรือช่วงเทศกาลต่างๆ พร้อมกับติดตามพัสดุให้กับลูกค้าจนกระทั่งถึงมือผู้รับ หรือหากมีปัญหาควรแจ้งผู้รับในทันทีที่ทราบเรื่อง จะทำให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกที่ดีกว่าการตามเรื่องด้วยตนเอง ไม่เกิดความรู้สึกถูกทอดทิ้ง หรือรู้สึกไม่ได้รับการบริการที่ดีตามที่ควรจะเป็น
กรณี 2 : ไม่ได้รับพัสดุ ไม่ส่งของ
อาจเกิดได้จากปัจจัยหลักๆ 2 ด้าน คือ
1.ร้านค้าออนไลน์ และ หน่วยงาน หรือบริษัท ที่ทำหน้าที่จัดส่งพัสดุ ไม่ดำเนินการส่งพัสดุ ตามกำหนด
2.ตัวผู้ซื้อเอง ให้ข้อมูล ไม่ถูกต้อง ไม่ครบถ้วน
วิธีแก้ปัญหา :
ในฐานะผู้ซื้อ – ควรให้ความสำคัญกับ ข้อมูล ที่ใช้ในการจัดส่ง และตรวจสอบรายละเอียดอย่างถี่ถ้วน จากประสบการณ์ของผมเองนั้น หลายครั้งที่ผู้ซื้อทำการโอนเงินค่าสินค้า แล้วไม่สามารถติดต่อได้ ทั้งที่ยังไม่ได้ให้ข้อมูลการจัดส่ง หรือให้แต่ไม่ครบถ้วน ไม่ถูกต้อง ซึ่งอาจทำให้การจัดส่งพัสดุเกิดการผิดพลาด หรือไม่สามารถจัดส่งได้ ดังนั้น จึงควรให้ข้อมูลทันทีที่โอนเงินค่าสินค้าเสมอ ประกอบด้วย ชื่อนามสกุลผู้รับ ที่อยู่ (ควรระบุถนน ซอย ด้วย) และที่เกิดความผิดพลาดบ่อยครั้งมากที่สุด คือ “รหัสไปรษณีย์” ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีความถูกต้อง และที่สำคัญอีกอย่างคือ เบอร์ติดต่อครับ ควรเป็นเบอร์โทรศัพท์มือถือของคุณด้วยครับ เพื่อง่ายต่อการติดต่อ หรือหากไม่สามารถรับพัสดุเองได้ ก็ควรแจ้งให้เขียนกำกับไว้หน้ากล่องพัสดุด้วย เพื่อมิให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมา เมื่อแจ้งข้อมูลที่ครบถ้วนถูกต้อง ก็มีขั้นตอนเหมือนกรณีแรกแล้วครับ แนะนำให้ติดตามด้วยตนเอง หรือติดต่อร้านค้าออนไลน์ทันทีเมื่อไม่ได้รับพัสดุตามกำหนดครับ
ในฐานะผู้ขาย – ควรขอข้อมูล และตรวจสอบว่ามีความถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ และตรวจดูตารางการจัดส่งไม่ให้ตรงกับวันหยุดพิเศษ หรือช่วงเทศกาล (หากหลีกเลี่ยงได้ ควรหลีกเลี่ยง) หากจำเป็นต้องส่งในช่วงดังกล่าว ก็ควรติดตามพัสดุให้กับลูกค้า หรือแจ้งปัญหาที่คาดว่าจะเกิดขึ้น หรือแจ้งทันทีที่ทราบ เพื่อให้ลูกค้าทราบปัญหาก่อนในเบื้องต้น
กรณี 3 : ไม่รู้ กี่วันจะถึง
ปัญหานี้ เป็นปัญหาที่ตรวจสอบได้ยากที่สุดปัญหาหนึ่ง เนื่องจากเวลาที่ใช้ในการจัดส่งพัสดุ อาจแตกต่างกันตามปัจจัยต่างๆ มากมาย ทั้งสถานที่ผู้ส่ง สถานที่ผู้รับ ประเภทการส่ง ช่วงเวลาที่ส่ง และปัญหาที่อาจเกิดขึ้นอื่นๆ ที่ไม่อาจกำหนดได้ ในระหว่างดำเนินงาน
วิธีแก้ปัญหา :
ในฐานะผู้ซื้อ – ต้องใจเย็นครับ (ประการแรกเลย) และคอยหมั่นตรวจสอบสถานะพัสดุเพื่อติดตามความคืบหน้าในการส่ง หรือในกรณีที่จำเป็นต้องใช้สินค้านั้นๆ ในวันที่กำหนดไว้แล้วล่วงหน้า ก็ควรเผื่อเวลาที่ใช้ในการจัดส่งพัสดุให้มากขึ้นอย่างน้อยอีก 1 วัน (ในเวลาปกติ) หรือ 3-7 วัน ในช่วงเทศกาลหยุดยาว เนื่องจากช่วงวันหยุดยาวพัสดุจะสะสมเยอะมาก จึงไม่ได้แปลว่าเมื่อเปิดทำการแล้ว จะสามารถจัดส่งได้ตามกำหนดเดิมในทันที ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ กับระบบจัดส่งพัสดุในบ้านเราครับ
ในฐานะผู้ขาย – ควรประมาณการณ์ล่วงหน้า จากข้อมูลที่มีในอดีต เพื่อแจ้งให้ลูกค้าทราบเพื่อให้ลูกค้ายอมรับได้ในระยะเวลาที่อาจจะนานกว่าปกติ (ไม่ว่าจะนานด้วยสาเหตุใดก็ตามแต่) หากลูกค้าไม่อาจยอมรับได้ ไม่ควรรับโอนเงินค่าสินค้านั้น หรือควรทำการโอนเงินคืนทันที เพื่อมิให้เกิดปัญหาในภายหลัง ควรติดตามพัสดุให้ลูกค้า และแจ้งทันทีที่ทราบปัญหาเช่นกรณีอื่นๆ
กรณี 4 : พัสดุเสียหาย
ปัญหานี้ เป็นปัญหาที่รุนแรงที่สุดปัญหาหนึ่ง และเกิดขึ้นจริงในระบบจัดส่งพัสดุในประเทศไทย โดยหลายหน่วยงาน หรือบริษัท ก็คงยังพยายามหาวิธีแแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดอัตราการเสียหายในการจัดส่ง ซึ่งต้องหาวิธีที่ดีที่สุดจากทั้งตัวร้านค้าออนไลน์เอง และผู้ทำหน้าที่จัดส่งพัสดุเอง ด้วย
วิธีแก้ปัญหา :
ในฐานะผู้ซื้อ – แจ้งทันทีที่ได้รับพัสดุ ถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นกับทางร้านค้า เพื่อเรียกร้องสิทธิ์ (ขึ้นกับนโยบายของแต่ละร้าน) โดยร้านค้าออนไลน์ที่ดี ควรมีนโยบายการเคลม เปลี่ยนสินค้าใหม่ หากสินค้าเกิดความเสียหายโดยไม่ได้เกิดจากตัวผู้รับเอง ดังนั้นผมแนะนำว่าควรเรียกร้องสิทธิ์ของเราได้เต็มที่ครับ เงินเราจะน้อยจะมากมีค่าเสมอ
ในฐานะผู้ขาย – ควรให้ความสำคัญกับการทำบรรจุภัณฑ์ และวิธีการป้องกันสินค้าเสียหาย ให้ดีเพียงพอต่อการจัดส่งพัสดุนั้นๆ อาจต้องเสียต้นทุนค่าวัสดุแพ็คเพิ่ม แต่ก็คุ้มค่ากับสิ่งที่ลูกค้าจะได้รับความพึงพอใจ ซึ่งส่งผลให้กลับมาซื้อสินค้าเราใหม่อีกครั้งนะครับ และที่สำคัญอีกประการคือ เลือกหาผู้จัดส่งพัสดุที่เหมาะกับสินค้าของเรา ซึ่งแต่ละท้องที่จะมีมาตรฐานแตกต่างกัน ดังนั้น ที่ไหนเราเคยส่งแล้วดีไม่มีปัญหา ก็เลือกส่งกับที่นั้นเป็นหลักแล้วกันครับ ให้เลือก “คุณภาพ” มาก่อน ราคา เสมอ ครับ
กรณี 5 : ค่าส่ง แพง
ปัญหาที่ เหมือนจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่หากรู้ หรือศึกษาข้อมูลดีๆ ก็มีหนทางครับ
วิธีแก้ปัญหา :
ในฐานะผู้ซื้อ – ควรให้ร้านค้าออนไลน์ ช่วยชี้แจงราคาค่าส่งนั้นๆ ว่ามีรายละเอียดอย่างไร ? เพราะบางทีอาจมีรายละเอียดที่ผู้ซื้อไม่ทราบเพิ่มเติม เช่น ค่ากล่อง ค่าวัสดุเพิ่มเติมในบรรจุภัณฑ์ ค่ารถ ค่าจัดส่งแบบเร่งด่วน ค่าจัดส่งในพื้นที่พิเศษ เป็นต้น จึงควรขอทราบรายละเอียดก่อนการโอนเงินทุกครั้ง หากไม่พอใจหรือไม่สามารถรับได้ในราคาค่าจัดส่งนั้น สามารถยกเลิกการซื้อได้ทันที ครับ
ในฐานะผู้ขาย – ควรศึกษาราคาค่าส่งของแต่ละผู้จัดส่งพัสดุ ให้รอบคอบ ว่ามีเงื่อนไขอย่างไร ให้ตรงกับลักษณะสินค้าของร้าน เพื่อลดต้นทุนราคาจัดส่งให้ต่ำลง บางผู้จัดส่งพัสดุ อาจใช้น้ำหนักเป็นเกณฑ์ (ยิ่งหนักยิ่งแพง) แต่ไม่จำกัดขนาด ในขณะที่บางผู้จัดส่ง อาจใช้ขนาด(ปริมาตร)เป็นเกณฑ์ โดยไม่คำนึงถึงน้ำหนัก เป็นต้น หากเลือกการจัดส่งพัสดุได้ถูกต้องตามรูปแบบสินค้า ก็จะช่วยให้ลดต้นทุนค่าจัดส่งให้ต่ำลงไปได้ ไม่ยากเลยครับ
ดงดอกไม้ (คลังต้นไม้ออนไลน์)
สั่งซื้อต้นไม้ออนไลน์ จัดส่งถึงบ้าน ได้มาตรฐาน แนะนำเป็นกันเอง ติดต่อเรา ดงดอกไม้ (คลังต้นไม้ออนไลน์)
โทร : 085-905-8919